“กัญชา” สารเสพติดในประเภทที่ 5 ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 และถือเป็นสารเสพติดที่มีบทลงโทษรุนแรงไม่น้อย ซึ่งคงปฏิเสธไม่ได้ว่ากัญชาคือสารเสพติดที่แพร่สะพัดเกลื่อนเมืองโดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่นจนแทบจะกลายเป็นเรื่องปกติ และการซื้อขายผ่านไปรษณีย์ไทยจึงกลายเป็นช่องทางยอดฮิตในการซื้อขายกัญชา
ซื้อขายกัญชาผ่านไปรษณีย์
นายหนึ่ง (นามสมมุติ) นักศึกษามหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ผู้เคยสั่งซื้อกัญชาผ่านไปรษณีย์เมื่อตอนมัธยมปลาย เปิดเผยว่า “ปกติสั่งซื้อจากรุ่นพี่ที่สนิท ก็ไปถามว่าพี่รับของมาจากที่ไหน พี่เขาบอกว่าที่ กรุงเทพฯ เราก็เลยขอเบอร์คนขายกัญชาที่กรุงเทพฯไว้ แล้วก็สั่งซื้อกัญชาเพื่อนำมาขายโดยตรงแบบส่งผ่านไปรษณีย์ ตอนนั้นสั่งมาครึ่งกิโลกรัม ราคา 5,000 บาท เพราะมันถูกกว่า ไม่ต้องผ่านนายหน้า แล้วเราก็ได้ของทุกครั้งที่สั่ง ถ้าเราซื้อมา 5,000 บาท เราก็จะได้กำไร 1 เท่า เฉลี่ยแล้วก็ได้เงินทุนคืนได้กำไรแล้วก็ได้สูบฟรี”
นายเอ (นามสมมุติ) นักศึกษามหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ผู้ที่เคยสั่งซื้อกัญชา เผยว่า “ได้เริ่มต้นการเสพกัญชาจากการชักชวนของรุ่นพี่ตอนมัธยมตอนปลาย เป็นการสูบฟรี แล้วถ้าใครสามารถขายได้ก็จะสร้างรายได้ให้กับตัวเอง จึงตัดสินใจที่จะทั้งเสพและขาย ซึ่งการขายจะแบ่งขายให้กับคนในพื้นที่มากกว่า ไม่เคยใช้ช่องทางการขายผ่านทางไปรษณีย์ เพราะเป็นการขายให้แก่คนใกล้ตัว โดยจะมีกลุ่มลับในเฟซบุ๊ก (Facebook) ซึ่งเป็นกลุ่มปิด สมาชิกในกลุ่มก็จะมีหลากหลายเชื้อชาติไม่ว่าจะเป็นคนไทย จีน หรือแม้กระทั่งชาวเม็กซิโก เหตุผลที่เลือกเสพกัญชาเพราะรู้สึกว่ากัญชาไม่ใช่สิ่งที่ไม่ได้มีโทษร้ายแรง ก็เริ่มได้รับการชักชวนจากเพื่อนบ่อยขึ้นจนติด ตั้งแต่ได้เริ่มเข้ามหาวิทยาลัย กัญชาส่วนมากที่เสพและขายเป็นกัญชาผสมสารเคมี จะไม่ใช่แบบออแกนิค เนื่องจากมีราคาแพง หายาก คนส่วนใหญ่จึงเลือกที่จะสูบแบบที่ผสมสารเคมี ส่วนแหล่งผลิตก็จากประเทศเพื่อนบ้านเรา”
ไปรษณีย์รับมีการส่งสินค้าผิดกฎหมายจริง
อาจกล่าวได้ว่ากัญชาเป็นสินค้าที่กระจายได้ง่ายที่สุดในสารเสพติดให้โทษ แม้จะมีข้อกฎหมายกำหนดไว้ก็ตาม ทางด้านไปรษณีย์ไทยก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหวกับปัญหาและช่องโหว่ในการซื้อขาย รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
นายกฤษณ์ คำศิริรักษ์ พนักงานไปรษณีย์ระดับ 7 เทศบาลเมืองมหาสารคาม จ.มหาสารคาม เล่าว่า “ไปรษณีย์มีการรับรู้เกี่ยวกับขบวนการการส่งสินค้าผิดกฎหมาย โดยทางไปรษณีย์จะมีมาตรการในการป้องกันด้วยการใช้เครื่องแสกนโลหะตรวจสอบหาพัสดุที่ผิดปกติ โดยทางผู้ขายจะมีวิธีหลบซ่อนโดยใช้กระดาษฟอยล์ห่อสินค้า เพื่อป้องกันการตรวจสอบจากเครื่องสแกนโลหะ เมื่อสินค้าผ่านเครื่องสแกนโลหะ วัตถุที่แสดงผ่านเครื่องจะเห็นเป็นห่อสีดำทึบ ทางไปรษณีย์ก็จะคัดแยกพัสดุเหล่านั้นออกมาเพื่อตรวจสอบอีกครั้งโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ”
นายกฤษณ์ เผยต่อว่า กระบวนการนี้มีความเสี่ยง เพราะมีจำนวนพัสดุต้องสงสัยจำนวนมาก จึงไม่สามารถตรวจพัสดุเหล่านั้นทุกชิ้นได้ จึงมีการเล็ดลอดสิ่งของผิดกฎหมายอยู่ตลอด และทางไปรษณีย์มีการสแกนบัตรประชาชนผ่านทาง Card Reader Smart Card Reader ที่จะเก็บข้อมูลของผู้ฝากหรือผู้ส่งทุกครั้ง แล้วเมื่อสิ่งของที่ส่งมีปัญหาหรือมีการเรียกตรวจสอบจากเจ้าหน้าที่ตำรวจและคณะกรรมการปราบปรามยาเสพติดก็จะใช้ข้อมูลเหล่านั้นตรวจสอบจากฐานข้อมูลรายชื่อผู้ที่เคยกระทำผิดกฎหมายในเรื่องการค้ายาข้ามชาติหรือธุรกรรมการเงินที่ผิดกฎหมาย ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะมีทั้งข้อมูลในประเทศและต่างประเทศด้วย โดยพื้นที่ที่มีการจับคุมการส่งขายยาเสพติดผ่านทางไปรษณีย์จะเป็นพื้นที่ติดชายแดน ตาม จ.นครพนม จ.มุกดาหาร จ.อุดรราชธานี ซึ่งมีพื้นที่ติดกับประเทศเพื่อนบ้าน
อย่างไรก็ตาม ทางไปรษณีย์ไทยได้มีมาตรการป้องกันการตรวจสอบพัสดุที่บรรจุสิ่งแปลกปลอมและผิดกฎหมายที่ทันสมัยและรัดกุมมากขึ้นตามการพัฒนาของเทคโนโลยีในแต่ละยุคสมัย แต่นั่นไม่ได้แปลว่าจะไม่มีรอยรั่วจากการตรวจสอบเกิดขึ้น
ฝ่าฝืนย่อมมีโทษ
ผศ.อมรเทพ เมืองแสน รองคณบดี ฝ่ายประกันสุขภาพการศึกษาและวิจัย คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม กล่าวว่า พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 ได้แบ่งยาเสพติดให้โทษออกเป็น 5 ประเภท โดยกัญชาจัดอยู่ในประเภทที่ 5 เช่นเดียวกันกับ พืชกระท่อม พืชฝิ่น ทุกส่วนของพืชกัญชา ทุกส่วนของพืชกระท่อม และพืชเห็ดขี้ควาย ซึ่งโทษในทางกฎหมายของกัญชานั้น แบ่งออกเป็นลักษณะของข้อหาต่างๆ คือ ผลิต นำเข้า และส่งออก มีโทษจำคุกตั้งแต่ 2-15 ปี และปรับ 200,000-1,500,000 บาท ตามมาตรา 75 มีสารเสพติดในครอบครอง มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปีหรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และมีสารเสพติดตั้งแต่ 10 กก. ขึ้นไปจะถือว่าเป็นการถือครองเพื่อจัดจำหน่าย ตามมาตรา 76 การจัดจำหน่าย ครอบครองเพื่อจำหน่าย ที่มีสารเสพติดไม่ถึง 10 กก. มีโทษจำคุก 2-10 ปี หรือปรับ 40,000-200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตามมาตรา 76/1 วรรคแรก และมีสารเสพติดตั้งแต่ 10 กก. ขึ้นไป มีโทษจำคุก 2-15 ปี หรือปรับ 200,000-1,500,000 บาท ตามมาตรา 76/1 วรรคสอง และข้อหาสุดท้ายการเสพสารเพติดให้โทษประเภทที่ 5 มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ ตามมาตรา 92 ผู้ใดฝ่าฝืนจะต้องรับโทษทางอาญา
ผศ.อมรเทพ กล่าวต่อว่า โทษของการซื้อขายกัญชา จะต้องพิจารณาโดยแยกประเด็นในส่วนของการ “ซื้อ” กับประเด็นในส่วนของการ “ขาย” ออกจากกัน ในส่วนของการซื้อนั้น เมื่อผู้ซื้อซื้อกัญชาจากผู้ขาย ผู้ซื้อย่อมตกอยู่ในสถานะเป็นผู้ครอบครอง และถ้าหากผู้นั้นครอบครองกัญชาที่มีน้ำหนักไม่ถึง 10 กก. โทษในทางอาญาของผู้ครอบครองจะอยู่ที่จำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ แต่ถ้าหากผู้นั้นซื้อกัญชา 10 กก.ขึ้นไป กฎหมายจะถือว่าผู้ซื้อนั้นครอบครองเพื่อจำหน่าย (กระทำการให้กัญชาแพร่กระจายไปยังคนอื่นๆ ซึ่งหมายความรวมถึงการขายกัญชาด้วย)
ถ้าหากกระทำการให้กัญชาแพร่กระจายไปยังคนอื่นๆ โดยใช้สื่อออนไลน์เป็นสื่อกลาง เช่น เสนอขายกัญชาผ่านเฟซบุ๊ก และตำรวจตรวจพบสามารถตามจับตัวผู้เสนอขายและเครือข่ายได้ ผู้ที่เสนอขายผ่านเฟซบุ๊กดังกล่าว ก็จะมีความผิดฐานมียาเสพติดให้โทษประเภทที่ 5 (กัญชา) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต” ซึ่งโทษจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับปริมาณของกัญชาที่อยู่ในความครอบครอง
ส่วนผู้ซื้อกัญชาผ่านเฟซบุ๊กแล้วได้รับกัญชาไว้ในความครอบครอง หากเจ้าหน้าที่ตำรวจติดตามจนสามารถจับกุมได้ ก็จะมีความผิดฐานมียาเสพติดให้โทษประเภทที่ 5 (กัญชา) ไว้ในครอบครองและถ้าหากมีกัญชาในความครอบครอง 10 กก.ขึ้นไป ก็จะมีความผิดฐานมียาเสพติดให้โทษประเภทที่ 5 (กัญชา) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งโทษจะหนักกว่าในกรณีแรก
ผศ.อมรเทพ กล่าวทิ้งท้ายว่า ผู้ที่ดูแลระบบหรือแอดมินเพจที่เปิดให้มีการแสดงความคิดเห็น เมื่อพบเนื้อหาที่ผิดกฎหมาย เช่น พบว่ามีการเสนอขายกัญชา หรือยาเสพติด รวมถึงสิ่งของผิดกฎหมายประเภทอื่น เช่น อาวุธปืน ในกลุ่มที่ตนเป็นผู้ดูแลระบบหรือเป็นแอดมิน ถ้าได้รับการแจ้งเตือนแล้วลบออก ผู้ที่ดูแลระบบ หรือแอดมิน ไม่ต้องรับโทษ แต่ถ้าไม่ยอมลบออก จะมีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (พระราชบัญญัติ ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2560 มาตรา 15)
พ.ต.อ.ดร.พานทอง สุวรรณจูกะ รองผู้กำกับการตำรวจภูธรจังหวัดมหาสารคาม กล่าวว่า การซื้อขายยาเสพติดไม่ใช่แค่เฉพาะกรณีทางไปรษณีย์อย่างเดียว แต่สิ่งที่เห็นได้ชัดคือจะไม่มีพยานรู้เห็นเพราะคนซื้อและคนขายแอบทำการค้าขายกันเอง ฉะนั้นการหาเบาะแสเรื่องยาเสพติดก็จะต้องผ่านการศึกษาหรือหน่วยกรองข่าวต่างๆ มาก่อน เช่น พวกนักสืบหรือสายตรวจที่แต่งตัวเข้าหาผู้ต้องสงสัย เพื่อไล่สืบข่าวอย่างเป็นขั้นตอนจนกว่าจะสาวไปถึงกลุ่มใหญ่ได้ โดยจะมีขั้นตอนการสืบข่าวจากการเช็คข้อความโทรศัพท์มือถือหรือการดักฟังการพูดผ่านโทรศัพท์ จากนั้นจะค่อยๆ สังเกตแล้วเฝ้าจับตาดูสถานการณ์”
“ความยากง่ายในการตรวจจับการซื้อขายกัญชาผ่านไปรษณีย์ไทยของวัยรุ่น อย่างแรกเลยเวลาไปส่งของที่ไปรษณีย์อยากให้เจ้าหน้าที่ในนั้นแกะสิ่งของที่จะส่งมาตรวจสอบก่อนไหม เชื่อว่าก็คงไม่มีใครอยากให้ตรวจสอบ เพราะนั่นอาจเป็นของที่เราแพ็คมาอย่างดีเพื่อส่งให้ญาติหรือคนสำคัญก็ได้ ดังนั้นวิธีการตรวจจึงมาจากการสังเกตมากกว่า เช่น ความถี่ที่ไปส่งสิ่งของทางไปรษณีย์โดยที่ไม่มีอาชีพที่เกี่ยวข้องกับการส่งของ จะเห็นได้ว่าคนกลุ่มนี้มักจะไม่มีอาชีพหรือหลักทรัพย์ที่ชัดเจน แต่มักจะส่งของไปที่ไกลๆ เช่นเป็นคน จ.ปทุมธานี จะส่งของไปมหาสารคามบ้าง ขอนแก่นบ้าง หรือเชียงรายเลยก็มี ดังนั้น มันก็เข้าข่ายแล้วว่าคนกลุ่มนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องที่ผิดกฎหมาย” พ.ต.อ.ดร.พานทอง กล่าว
ผลักดันกัญชาถูกกฎหมาย
สารเสพติดหรือสิ่งแปลกปลอมผิดกฎหมายที่ใช้ไปรษณีย์เป็นสะพานเชื่อมเข้าหาเยาวชน และกลุ่มวัยรุ่น นอกจากกัญชาแล้วก็ยังเห็นข่าวการจับของเลี่ยงภาษีและชิ้นส่วนอะไหล่ที่ได้จากการขโมยต่างๆ นานา นั่นทำให้เกิดข้อสังเกตของกระบวนการป้องกันของไปรษณีย์ว่าจะลดรอยรั่วนี้ให้แคบลงได้หรือไม่ ด้วยปัจจัยต่างๆ ทั้งจำนวนของคนส่งไปรษณีย์ในแต่ละวันที่มากมายมหาศาลและการลักลอบหรือใช้เทคนิคต่างๆ ในการห่อพัสดุที่บรรจุสิ่งผิดกฎหมายจึงทำให้มีการตรวจจับได้ยาก
แม้ว่าปัจจุบันอาจจะมีการส่งเสริมให้กัญชาถูกนำเข้ามาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์เพื่อรักษาโรค เช่น โรคมะเร็ง เป็นต้น แต่การซื้อขายกัญชาแบบทั่วไปนั้นจะต้องขอความร่วมมือกับทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาบริหารจัดการอย่างเด็ดขาด และถ้ามีการขายกัญชาในท้องตลาดจะส่งผลให้เศรษฐกิจทางการเกษตรของไทย ที่สามารถปลูกและพัฒนายาจากกัญชาเพื่อส่งขายในตลาดโลกได้ เนื่องจากประเทศไทยมีการทำเกษตรกรรมเป็นส่วนใหญ่ ในอนาคตข้างหน้าอาจจะมีการซื้อขายกัญชาเพื่อการรักษาโรคได้ทั่วไป ผู้ที่มาซื้อต้องมีใบรับรองหรือใบสั่งยาจากทางแพทย์เท่านั้นเพื่อเป็นการยืนยันว่าตนใช้กัญชาเพื่อรักษาโรคจริง ไม่ใช่การเสพสารเสพติดเพื่อความบันเทิง หรือเพื่อเข้าสังคมในกลุ่มผู้เสพกัญชาด้วยกันเอง
เพจ Facebook “กัญชาชน” ที่มียอดไลค์กว่าสามแสน เป็นเพจที่ต้องการผลักดันให้การใช้กัญชาถูกกฎหมายในฐานะ “ยา” และถ้าเป็นไปได้ก็ให้ใช้ในด้านความบันเทิงเพื่อผ่อนคลาย โดยให้รัฐบาลเข้ามาบริหารจัดการอย่างเข้มงวด โดยยาที่สกัดจากกัญชาสามารถบรรเทาอาการเจ็บปวดจากโรคต่างๆ ได้ ใช้ในการรักษาโรคต้อหิน ใช้กระตุ้นความอยากอาหารของผู้ป่วยโรคเอดส์ และใช้เป็นยาแก้อาเจียนสำหรับผู้ป่วยที่ได้รับเคมีบำบัด เป็นต้น
นายรัฐพล แสนรัก เจ้าของเพจ Facebook “กัญชาชน” ให้ข้อมูลว่า ที่ตนได้พยายามผลักดันกัญชาให้ถูกกฎหมายนั้น ก็เพราะอยากให้นำกัญชามาสกัดเป็นยารักษาโรคกับคนในประเทศ และส่งออกขายไปยังตลาดโลกที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศได้อีกด้วย ซึ่งการผลักดันกัญชาเป็นการให้ความรู้ที่พยายามเปลี่ยนมุมมองผ่านทางเพจเฟซบุ๊ก และผ่านเวทีเสวนาที่จะมีการนำเสนอนโยบายเกี่ยวกับกัญชา ไม่ว่าจะเป็นทางด้านการแพทย์หรือทางด้านความบันเทิง โดยจะให้ทางภาครัฐเข้ามามีส่วนร่วมในการผลักดันนี้ด้วย ส่วนใหญ่ผู้ที่ให้ความสนใจจะมีทุกเพศทุกวัย ไม่ได้มีเพียงแค่วัยรุ่นเท่านั้นที่สนใจ ซึ่งทางรัฐอาจจะมีการอนุญาตให้กัญชาเป็นสิ่งที่ถูกกฎหมายในเร็วๆ นี้