เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2559 คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม จัดโครงการสัมมนาวิชาการการบังคับโทษในคดีข่มขืนกระทำชำเราในภูมิภาคอาเซียน เวลา 09.00 – 12.00 น. ณ ห้องประชุมแม่น้ำของ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม โดยมี ผศ.ดร.ดวงเด่น นาคสีหราช เป็นหัวหน้าโครงการวิจัย และมีศาสตราจารย์ ดร.คณิต ณ นคร อดีตอัยการสูงสุด เป็นผู้วิพากษ์งานวิจัย
ภายในงานได้มีการกล่าวถึงงานวิจัยเรื่อง “การบังคับโทษในคดีข่มขืนกระทำชำเราในภูมิภาคอาเซียน” โดยผลการวิจัยได้สรุปถึงบทลงโทษสำหรับความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราของประเทศไทยว่ามีอัตราโทษสูงมากอยู่แล้ว (อย่างน้อยเมื่อเทียบเคียงกับความผิดฐานอื่นที่มีความรุนแรงโดยสภาพที่ร้ายแรงกว่า) และค่อนข้างจะไม่สมเหตุสมผลด้วยดังที่ได้เทียบกับความผิดฐานทำร้ายร่างกาย อันตรายสาหัสคือตัดอวัยวะเพศ แต่ยังคงอยู่ในกรอบของการจำคุก ทั้งนี้ควรแยกแยะให้ดีว่า การข่มขืนแล้วฆ่า เป็นความผิดฐานฆ่าฐานหนึ่ง และเป็นความผิดฐานข่มขืนอีกฐานหนึ่ง อัตราโทษสูงสุดในกรณีนี้คือ ประหารชีวิต
ทั้งนี้ ปัญหาของการบังคับใช้กฎหมายข่มขืนกระทำชำเราอยู่ที่กระบวนการยุติธรรมที่ไม่มีประสิทธิภาพ เนื่องจากหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรม อันได้แก่ ตำรวจ อัยการ ศาล และกรมราชทันฑ์ ขาดการประสานงาน และปฏิบัติหน้าที่อย่างจริงจัง ทำให้กฎหมายไร้ประสิทธิภาพ ไม่มีความเป็นภาวะวิสัยและเชื่อถือได้ การปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมจริงถือเป็นเรื่องสำคัญ เพราะกฎหมายหากเกิดจากความเข้าใจ ความชอบธรรมก็จะตามมา
โดยมีข้อเสนอแนะใหมี้ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมที่ขาดประสิทธิภาพกล่าวคือ กระบวนการยุติธรรมต้องรวดเร็วและร่วมมือกัน และหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมได้แก่ตำรวจอัยการและศาลต้องประสานงานและร่วมมือกันอย่างมีประสิทธิภาพ การไม่ประสานงานและไม่ร่วมมือกัน ทำให้กระบวนการยุติธรรมล่าช้า เพราะกระบวนการยุติธรรมไม่ล่าช้าคือความอยุติธรรม
นอกจากนี้ควรให้คดีข่มขืนกระทำชำเราทุกกรณีเป็นคดีอาญาแผ่นดิน มิใช่ความผิดต่อส่วนตัว กล่าวคือ มิให้คดีข่มขืนกระทำชำเราเป็นคดีความผิดที่ยอมความกันได้ตามกำหนดไว้ในประมวลกฎหมายอาญาปัจจุบัน แม้ว่ากรณีข่มขืนกระทำชำเราเด็กหรือข่มขืนกระทำชำเราในเหตุฉกรรจ์ จะกำหนดให้เป็นความผิดที่ยอมความกันไม่ได้ก็ตาม รวมถึงไม่ควรให้การรับสารภาพ เช่น การข่มขืนแล้วฆ่านำไปสู่การลดหย่อนผ่อนโทษของสารและจะทำให้กฎหมายไม่ศักดิ์สิทธิ์แล้วสังคมเกิดการเลียนแบบ ขาดสภาพบังคับ นำไปสู่ความไม่เกรงกลัวต่อกฎหมายและกระทำความผิดซ้ำอีก