“จะกล่าวถึงทศเศียร์เรืองศรี เนาว์อยู่ในลงกาธานี วันนี้ให้ร้อนในพระทัย จะหายใจออกก็ไม่ค่อยได้ มันเร่าร้อนเผาไหม้ เข้าไปในทรวงของยักษ์ศรี ยิ่งคิดยิ่งแค้นแสนทวี อสุรีครวญคร่ำทั้งกายา คิดแล้วจึงหยิบเอาตระปองเพชรแก้วอันศักดิ์ดา เสด็จออกมายังหน้าพลับพลาชัย”
เสียงร้องคำกลอนที่แสนไพเราะ สามารถดึงคนดูให้จดจ่ออยู่กับแสงไฟสีเหลืองนวล ฉายกระทบลงบน ตัวหนังตะลุงที่เชิดชักไปมา จนเกิดเป็นเงาสะท้อนบนพื้นผ้าใบสีขาว ที่เคลื่อนไหวตามจังหวะดนตรี ด้วยทำนองที่คุ้นหูอย่างหมอลำ ที่เรียกว่า หนังบักตื้อ
เชื่อว่าหลายคนต้องตั้งคำถามในใจแน่นอนว่า หนังบักตื้อ คืออะไร?
หนังบักตื้อหรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าหนังประโมทัย มาจากคำว่าปราโมทย์ ที่แปลว่าความสุข ความสนุกสนานความบันเทิง ซึ่งจะคล้ายกับหนังตะลุงทางภาคใต้ ที่นำหนังวัวมาแกะสลักลายให้เป็นตัวละครต่าง ๆ ตามเรื่องราวที่นำมาแสดง แต่ที่เรียกกันว่าหนังบักตื้อเพราะคนอีสานเรียกกันง่าย ๆ ตามชื่อตัวละคร หนังชนิดนี้อยู่กับคนอีสานมานานแล้ว ส่วนมากจะแสดงในงานบุญแจกข้าว งานบวช หรือบุญขึ้นบ้านใหม่ ซึ่งหนังประโมทัยเป็นมหรสพอีสานที่จะทำให้งานบุญต่าง ๆ มีสีสัน
อาจารย์ชุมเดช เดชภิมล ผู้ช่วยคณบดี วิทยาลัยดุริยางศิลป์ มหาวิทยาลัยมหาสารคามได้เล่าถึงเรื่องราวเกี่ยวกับหนังบักตื้อหรือหนังประโมทัยว่า “หนังบักตื้อเป็นชื่อที่ชาวบ้านเขาเรียกกันทั่วไป เขาไม่ได้เรียกแค่หนังบักตื้ออย่างเดียวนะ หนังบักป่องบักแก้วเขาก็เรียก ที่เขาเรียกบักป่องบักตื้อบักแก้วนี่เขาเรียกตามชื่อ ตัวตลก เพราะว่าหนังชนิดนี้จุดเด่นของมันก็คือ อารมณ์ขัน นิทานตลกของชาวอีสาน ถึงเนื้อเรื่องจะเป็น รามเกียร์แต่คนก็จะไม่ค่อยสนใจมากนัก ถ้าไม่มีตัวตลก เสน่ห์อีกอย่างคือการร้องการพากย์ที่มีสำเนียง ไทยปนอีสาน และการเล่าเรื่องล้อเลียนสังคมในปัจจุบัน บทที่ใช้ในหนังประโมทัยส่วนใหญ่เป็นกลอนแปดของภาคกลาง จะมีแบบฉบับก็คือบทละครเรื่องรามเกียรติ์ของรัชกาลที่ 1 ยังใช้กันอยู่ใช้หนังประโมทัย และเวลาที่ตัวละครเข้าฉากออกฉากก็จะมีการร้องหมอลำเต้ย ลำเพลินที่มันสนุกๆ เพื่อที่จะเปลี่ยนบรรยากาศไม่ให้น่าเบื่อ ”
เสน่ห์ของหนังประโมทัยเป็นการรวมตัวหลายแขนงของภาคอีสานไม่ว่าจะหมอลำ ดนตรี การทำหุ่น เชิดหุ่น ด้วยความแตกต่างทางด้านภาษาและวัฒนธรรมทำให้หนังประโมทัยต่างจากตะลุง คือการนำหนังตะลุงมาบวกกับหมอลำ โดยการนำกลอนลำซิ่งมาแสดงคอนเสิร์ตหน้าเวทีก่อนแสดงโดยใช้ตัวละครตลกที่กล่าวมาอย่างบักตื้อมาเป็นตัวเปิดเรื่อง และมีการใช้คำพูดตลกทะลึ่งเป็นความสนุกเพลิดเพลินตามวิถีชีวิตคนอีสาน และสองสิ่งนี้จะขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไปไม่ได้เลย เพราะคนที่เรียนเชิดหนังมาก็จะร้องหมอลำไม่เป็น คนที่ร้องหมอลำเป็นก็จะเล่นหนังไม่ ได้ ดังนั้นหนังประโมทัยต้องรวมสองศาสตร์นี้เข้าด้วยกัน
ตอนนี้หนังประโมทัยอยู่ในยุคที่ค่อยข้างซบเซา แต่ยังมีคนจ้างอยู่ส่วนมากจะเป็นคนช่วงอายุ 60 ปีขึ้นไป ถ้าคนอายุช่วงนี้ล้มหายตายจากไปหนังประโมทัยคงเลือนหายไปด้วย และในภาคอีสานส่วนมากจะพบ หนังประโมทัยได้มากที่สุดคือจังหวัดอุบลราชธานี ส่วนจังหวัดอื่น ๆ อาจจะเลือนหายไปหมดแล้ว
“จะเลือนหายไปหรือไม่ มันก็ไม่แน่เพราะในวงการความนิยมมันอาจจะย้อนกลับมามีกระแสอีกก็ได้ เหมือนเพลงเก่าก็กลับมาเป็นที่นิยมได้อีก ในโลกของศิลปะครูไม่ค่อยกังวลเรื่องของการเสื่อมสูญ ซักเท่าไหร่ เหตุผลคือเรามองเห็นคุณค่าทางศิลปะ เราไม่มีหน้าที่ที่จะไปยุ่งเกี่ยวกับสังคมว่ามันจะอยู่ หรือมันจะตาย ก็เพราะว่าศิลปะถ้ามันไม่มีคุณค่าในตัวเองมันจะสูญสลายไปในที่สุด แต่ศิลปะที่มีคุณค่า หายไปก็เยอะนะ และก็ในความเป็นจริงจะหายหรือไม่หายเราก็ยังไม่รู้ ” อาจารย์ชุมเดช เสริมเรื่องอนาคตของหนังประโมทัย
อาจารย์ชุมเดช ยังเล็งเห็นอีกว่า หนังประโมทัย เป็นศิลปวัฒนธรรมของชาวอีสาน จึงได้นำความรู้เกี่ยวกับหนังประโมทัยมาถ่ายทอดให้กับนิสิตนักศึกษาได้อนุรักษ์ ไว้ โดยจัดตั้งเป็นหลักสูตรวิชารวมวง หนังประโมทัยขึ้น และคิดว่าสิ่งนี้คือการอนุรักษ์ความโดดเด่นของหนังประโมทัย ความสวยงามของศิลปะคุณค่าของมันมีเยอะ จึงคิดว่านิสิตควรจะได้รับการเรียนรู้เรื่องนี้ และก็มองว่ามันค่อนข้างจะมีความสำคัญสำหรับคนที่มาเรียนดนตรีที่เขาเรียนทางศิลปะอยู่แล้ว
“รู้สึกว่าแทนที่จะปล่อยให้มันตายผมก็เลยมาพานิสิตที่เล่นดนตรีเป็นอยู่แล้วให้เขามาหัดร้องหนัง ให้เขาได้มีความรู้เพิ่มเติม เขาก็ชอบกัน เขาก็เล่นได้ จึงยัดเข้าไปในหลักสูตร ปีสองเอกดนตรีพื้นบ้านทุกคนต้องรวมวงเล่นหนังประโมทัย เป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยอนุรักษ์ ได้ดีที่สุด อยากให้มันอนุรักษ์ในหมู่บ้านเพราะนิสิตเขาอยู่คนละบ้าน พอเขาเรียนจบไปเขาก็ไปบ้านใครบ้านมันมันก็ไม่เป็นวงกันซักที อย่างน้อยๆ ก็ได้ให้เขาได้เรียน ๆ ไปถ่ายทอด อย่างน้อยมันก็เป็นการอนุรักษ์”
นิสิตวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ทุกคนเรียนปฏิบัติมากกว่าทฤษฏี เน้นเรียนปฏิบัติ เริ่มเรียนก็จะให้ฝึกร้องแต่ละบท และฝึกแสดงเชิดหุ่น ดนตรีประกอบทำนอง และมีการสอบแสดง จากการเรียนรวมวงหนังประโมทัย นิสิตมีการตอบรับที่ดีกับการเรียนวิชานี้ และสามารถเล่นหนังประโมทัยเข้าถึงบทบาทได้ดี นอกจากวัฒนธรรมพื้นบ้านอย่างหนังประโมทัยแล้ว ยังมีวิชารวมวงกลองยาว รวมวงกันตรึมและโนราห์อีกด้วย
นายนรชน โทบุดดี นิสิตชั้นปีที่4 วิทยาลัยดุริยางศิลป์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ได้เล่าความประทับใจ ในการสืบทอดศิลปะการแสดงหนังประโมทัยว่า “เหตุผลแรกที่อยากเล่นและอยากอนุรักษ์ก็เพราะว่า หนึ่งเป็นวิชาเรียน สองก็คือความเป็นพื้นบ้านครับ มันรักในวัฒนธรรม รักในศิลปะแขนงนี้อยู่แล้ว ถ้าไม่สืบสานเอาไว้ ก็น่าเสียดายถ้าสูญหายไป”
เสียงดนตรีที่บรรเลงได้จบลงพร้อมกับแสงไฟ แต่ศิลปวัฒนธรรมอันดีงามยังคงไม่เลือนหายไป ถ้าเยาวชน รุ่นหลังร่วมใจกันอนุรักษ์ ช่วยกันหันมาสนใจศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้านและวัฒนธรรมของบรรพบุรุษชาวอีสานที่ได้สืบทอดกันมาอย่างยาวนาน