นักกฎหมายเผย จากบทเรียนคดีทุจริตศูนย์กีฬา มมส นำไปสู่การป้องกันและตรวจสอบอย่างโปร่งใส แต่ต้องใช้ความร่วมมือจากทุกภาคส่วน
จากที่หนังสือพิมพ์สื่อมวลชน ฉบับเดือนเมษายน พ.ศ.2559 ได้รายงานข่าว “ความคืบหน้าคดีทุจริตศูนย์กีฬา มมส รอศาลพิพากษา” โครงการสร้างศูนย์กีฬาและนันทนาการมหาวิทยาลัยมหาสารคาม (มมส) ที่มีกำหนดเสร็จตั้งแต่ปี 2555 แต่ต้องชะงัก เนื่องจากผู้รับเหมาไม่สร้างต่อตามสัญญา ทั้งนี้ใช้งบประมาณจากโครงการไทยเข้มแข็งเมื่อปี 2555 จำนวน 190 ล้านบาท จากเหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้ มมส สูญเงินไปราว 50 ล้านบาท และคดีก็ยังคงอยู่ในชั้นศาลแพ่งและพาณิชย์
ความคืบหน้าของโครงการก่อสร้างศูนย์กีฬาและนันทนาการ (ส่วนที่เหลือภายหลังบอกเลิกสัญญา) ล่าสุดเหลือเพียงการตกแต่งภายในเพิ่มเติมและติดตั้งระบบปรับอากาศ ซึ่งผู้รับจ้างคือบริษัท สยามพารากอน คอนสตรัคชั่น จำกัด ระยะเวลาเริ่มต้นและสิ้นสุด คือ 7 สิงหาคม พ.ศ.2560 ถึง 28 มกราคม พ.ศ.2562 โดยใช้งบประมาณทั้งหมด 61,830,000 บาทถ้วน รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม และมีบริษัท สถาปนิกทูเก็ตเตอร์ จำกัด เป็นที่ปรึกษาและควบคุมงานก่อสร้าง
การทุจริตเกิดขึ้นในการสร้างเฟสแรก ต่อมามหาวิทยาลัยได้ต่อสัญญากับผู้รับเหมารายใหม่ จำนวน 139 ล้านบาท ซึ่งเป็นงบประมาณที่เหลือจากการสร้างในเฟสแรก และการสร้างในเฟส 2 ได้สร้างเสร็จตามสัญญา แต่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ จึงต้องมีการสร้างต่อในเฟส 3 เป็นการตกแต่งและติดตั้งอุปกรณ์ให้พร้อมใช้งาน
นางสาวสุพาภรณ์ ภูสาหัส กรรมการและเลขานุการโครงการก่อสร้างศูนย์กีฬามหาวิทยาลัยมหาสารคาม เปิดเผยว่า ก่อนสร้างศูนย์กีฬา ต้องมีการเปิดประมูลราคาจากบริษัทผู้รับเหมา ซึ่งครั้งนี้มีบริษัทเข้าร่วมประกวดราคา 8 ราย แต่ส่งรายชื่อและรายละเอียดเพียง 2 ราย ผู้ชนะการประมูลคือบริษัท ไทยพารากอน คอนสตรัคชั่น จำกัด เสนอราคา 61,830,000 ล้าน ซึ่งสัญญาที่ใช้สามารถปรับราคาได้ หากวัสดุมีราคาเพิ่มขึ้น ผู้รับเหมาสามารถได้เงินตามดัชนีราคาวัตถุ
ด้าน ดร.วนิดา พรมหล้า นักวิชาการด้านกฎหมาย วิทยาลัยการเมืองการปกครอง มหาวิทยาลัยมหาสารคาม เผยว่า การใช้กฎหมายในกรณีมีการทุจริต พ.ร.บ.ความผิดว่าด้วยการเสนอราคาต่อหน่วยงานรัฐ พ.ศ.2542 จะป้องกันการสมยอมการเสนอราคา (ฮั้วประมูล) และล่าสุดก็มี พ.ร.บ.การจัดซื้อจัดจ้างและบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ.2560 ซึ่งเป็นอีกหนึ่งกฎหมายที่สำคัญในการป้องกันปัญหาการทุจริตในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง โดยเฉพาะการรับเหมาก่อสร้างระหว่างเอกชนและหน่วยงานภาครัฐ
ดร.วนิดา เผยอีกว่า ในด้านการเบิกจ่ายงบประมาณที่มีจำนวนมากอย่างการสร้างศูนย์กีฬา จำเป็นต้องมีการป้องกัน เพื่อไม่ให้เกิดการทุจริตโดยอาศัยบทบัญญัติกฎหมายที่เป็นหลักประกันอย่างเป็นลายลักษณ์อักษร ประกอบกับการใช้กฎหมายดังกล่าวอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือกันของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย
“การดำเนินการตามกฎหมายเรื่องทุจริตคอรัปชั่น เป็นเรื่องสำคัญอันเป็นหลักประกันแห่งสิทธิของปัจเจกชนที่จะได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย ซึ่งการฟ้องร้องค่าเสียหายเพื่อบังคับตามสัญญารับเหมาก่อสร้าง ก็เป็นอีกหนึ่งการดำเนินการบังคับเพื่อให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนดตามคดีแพ่ง หลังจากที่ศาลมีคำพิพากษาแล้ว ก็เป็นขั้นตอนของการบังคับคดีตามคำพิพากษา โดยการที่ฝ่ายผู้ร้องหรือผู้ชนะคดีจะได้อะไรนั้นขึ้นอยู่กับคำพิพากษาของศาล เช่น กำหนดให้ฝ่ายที่แพ้คดีชำระค่าเสียหายตามคำร้อง ซึ่งอาจรวมถึงดอกเบี้ยที่เกิดขึ้น หรือศาลอาจกำหนดให้ฝ่ายที่แพ้คดีดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งอันเป็นการเยียวยาความเสียหายตามฝ่ายที่ชนะคดีร้องขอ” ดร.วนิดา กล่าวทิ้งท้าย
นายจันทพันธุ์ จันปุ่ม นิสิตชั้นปีที่ 3 ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม แสดงความคิดเห็นต่อคดีการทุจริตก่อสร้างศูนย์กีฬาข้างต้นว่า เป็นการทุจริตโครงการใหญ่ส่งผลกระทบต่อนิสิตและบุคลากร ทำให้เสียประโยชน์ในส่วนนี้ เนื่องจากอาคารศูนย์กีฬาที่จะเป็นจุดเด่นและทำกิจกรรม กลับถูกโกงไปโดยที่ไม่มีฝ่ายใดออกมาให้ข้อมูลที่ชัดเจน ได้แต่หวังว่าครั้งนี้จะสร้างเสร็จสมบูรณ์ อยากให้น้องๆ ได้ใช้ศูนย์กีฬานี้
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวติดต่อไปยังนิติกร มหาวิทยาลัยมหาสารคาม เพื่อติดตามความคืบหน้าของคดีพบว่า ไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลได้คดียังอยู่ในชั้นศาลรอการพิพากษา และบุคลากรที่มีส่วนเกี่ยวข้องไม่ได้ทำหน้าที่นั้นแล้ว สุดท้าย มมส จะได้ใช้ศูนย์กีฬาตามกำหนดหรือไม่ เป็นเรื่องที่ต้องจับตามอง