การสื่อสารผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์สามารถเชื่อมถึงการปฏิสัมพันธ์กับสมาชิกหรือบุคคลได้อย่างรวดเร็ว แต่ในความรวดเร็วนั้น สังคมออนไลน์ถือเป็นเครื่องมือที่เข้าถึงข้อมูลได้ง่าย และสร้างประวัติส่วนตัวขึ้นใหม่ได้เสมือนมีตัวตนในโลกอีกใบ ประกอบกับโซเชียลเน็ตเวิร์คเครือข่ายใหญ่อย่างเฟซบุ๊ก ได้เพิ่มฟังก์ชั่นให้ทันสมัยมากขึ้นทั้งด้านการเช็คอิน ถ่ายทอดสด รวมถึงการตั้งค่าสาธารณะ ฟังก์ชั่นเหล่านี้คล้ายดั่งดาบสองคม หากประมาทอาจมีมือมืดอาศัยเทคโนโลยีเหล่านี้สร้างอันตรายได้อย่างง่ายดาย
จากการสอบถามและลงพื้นที่หาข้อมูลในมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ผู้สื่อข่าวพบผู้เสียหายที่ได้รับผลกระทบจากการถูกปลอมข้อมูล 2 รายด้วยกัน ทั้งด้านแอบอ้างบุคคล และเสนอขายสินค้าปลอม
รายแรก นายเอ ( นามสมมุติ ) เผยว่า เมื่อเดือนมิถุนายน 2560 มีรุ่นน้องที่เรียนสาขาเดียวกัน เล่นแอพพลิเคชั่น BeeTalk และได้พบบุคคลที่ใช้รูปโปรไฟล์ของตนกดเพิ่มเพื่อนเข้ามา ทั้งๆที่ตนไม่ได้เล่นแอพพลิเคชั่นนี้ ตนทราบเรื่องเพราะน้องมาถามว่าใช่ตนหรือไม่ ซึ่งกรณีนี้ถือว่าเป็นการแอบอ้าง เนื้อหาที่สนทนาในเชิง 18+ มีการส่งรูปภาพอวัยวะเพศ ซึ่งถือว่าเป็นการคุกคามทางเพศ ตนรู้สึกว่าสังคมในโลกโซเชียลสามารถนำรูปใครไปทำอะไรก็ได้ และแน่นอนว่าไม่ปลอดภัย โชคดีที่น้องมาถามตน มิเช่นนั้นอาจเกิดความเข้าใจผิดซึ่งว่าจนเป็นพวกหื่นกาม
รายที่สอง เจ้าของสินค้าแบรนด์ Milion Brand เผยว่า เปิดธุรกิจขายของออนไลน์มาเกือบ 2 ปี มีตัวแทนจำหน่ายจำนวนมาก และมีบุคคลที่ตนไม่รู้จักนำรูปสินค้าของตนไปโพสต์ขาย ปรากฏว่ามีลูกค้าสนใจได้สั่งซื้อแต่ไม่ได้รับสินค้า ลูกค้าจึงเข้ามาแจ้งกับตน จึงได้มีการพูดคุยเจรจากับลูกค้าว่า บุคคลนั้นไม่ใช่ตัวแทนจำหน่ายสินค้าของตน และแม้จำนวนเงินจะไม่มากแต่มีกรณีเช่นนี้เกิดขึ้นหลายครั้ง ยอดเงินผู้เสียหายรวมกันมูลค่านับหมื่นบาท ซึ่งตนได้เข้าแจ้งความกับตำรวจและโพสต์ให้ลูกค้าสั่งซื้อกับตัวแทนจำหน่ายที่มีบัตรตัวแทนที่ถูกต้องเท่านั้น
นายธนันชัย คำเกตุ หัวหน้าภาควิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ คณะวิทยาการสารสนเทศ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม กล่าวว่า จากกรณีที่ใช้ช่องทางเทคโนโลยีปลอมแปลงเอกสาร ตนมีความเห็นว่าเทคโนโลยีมีความรวดเร็ว มีช่องทางการสื่อสารค่อนข้างมาก นอกจากนั้นยังมีโซเชียลเน็ตเวิร์ค ที่มีพลัง ซึ่งอาจกระทบต่อระบบเศรษฐกิจ เนื่องจากว่าปัจจุบันเทคโนโลยีมีความสัมพันธ์กับระบบเศรษฐกิจเป็นอย่างมาก ฉะนั้นต้องตระหนักถึงการปลอมแปลง ทางด้านธุรกรรม การเงิน ธนาคาร เป็นต้น ในส่วนของกฎหมายมีหลายมาตรา พระราชบัญญัติ พ.ศ. 2560 อาทิ การตัดต่อข้อมูล มีโทษปรับไม่เกินสองแสนบาท จำคุกไม่เกิน 3 ปี ซึ่งในปัจจุบันประเทศไทยได้ตระหนักเห็นถึงความสำคัญของการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสารที่มีประโยชน์ รวมถึงทางการศึกษา ที่เน้นเรื่องจรรยาบรรณในการใช้เทคโนโลยี
ด้านนายศุภชัย ตู้กลาง หัวหน้าภาควิชาจิตวิทยา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม กล่าวว่า การสื่อสารในโซเชียล มีเดียได้เข้ามาอยู่ในชีวิตประจำวัน ซึ่งเป็นช่องทางเปิดโอกาสให้คนที่พยายามแสวงหาผลประโยชน์จากสื่อสังคมออนไลน์นั้นง่ายมากขึ้น พฤติกรรมการปลอมแปลงหรือแฮกข้อมูล อาทิ เฟซบุ๊กมีที่ฟังชั่นการสนทนาในรูปแบบแชท หรือการนำรูปบุคคลอื่นมาแอบอ้างเพื่อสร้างผลประโยชน์ โดยในทางจิตวิทยาเป็นพฤติกรรมของบุคคลที่ต้องการอยากรู้เรื่องความลับของผู้อื่น ซึ่งเป็นเรื่องปกติของมนุษย์ ทั้งนี้ในกรณีที่นำรูปบุคคลอื่นมาแอบอ้างและสร้างผลประโยชน์ ถือเป็นพฤติกรรมสร้างตัวตนให้กับตนเองบนโซเชียลมีเดีย
ทั้งนี้ การปลอมแปลงฐานข้อมูล การอ้างอิงบุคคล การตัดต่อดัดแปลงข้อมูลเท็จ หรือการเสนอขายสินค้าปลอม ล้วนแต่เป็นการโจรกรรมข้อมูลทางออนไลน์ทั้งสิ้น ในปัจจุบันแม้จะมี พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ฉบับปรับปรุงแก้ไข พ.ศ. 2560 อาทิ มาตราที่ 14 และ 16 การป้องกันการกระทำความผิด (อ่าน พ.ร.บ.ฉบับเต็ม https://goo.gl/SCfyK4) แต่กรณีที่กล่าวข้างต้น ก็ยังคงเป็นปัญหาหลักในสังคมออนไลน์อยู่