ปัจจุบันบริษัทเอกชนหลายแห่งต้องการจระเข้เพื่อส่งออกผลิตภัณฑ์ที่มาจากจระเข้จำนวนมาก จึงทำให้จระเข้ไม่เพียงพอต่อความต้องการในท้องตลาด ส่งผลให้บริษัทดังกล่าวเร่งผลิตลูกพันธุ์จระเข้ เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการ ส่งผลให้เกษตรกรหลายรายหันมาลงทุนเลี้ยงจำนวนมาก เนื่องจากคุ้มค่าต่อการลงทุน ถึงแม้จระเข้จะสามารถเพาะเลี้ยงได้แต่ต้องมีใบอนุญาตจากสำนักงานประมง จ.มหาสารคาม เพราะถ้าหากเพาะเลี้ยงผิดกฎหมายจะมีโทษปรับสูงถึง 40,000 บาท ทั้งนี้อาชีพเลี้ยงจระเข้ถือเป็นทางเลือกใหม่ที่ได้รับความนิยมจากเกษตรกรใน จ.มหาสารคามหรือผู้ที่ต้องการหารายได้เสริม
นายไพรัช ธีรภัคสิริ อาชีพข้าราชครู ค.ศ. 3 โรงเรียนอนุบาลกันทรวิชัย อ.กันทรวิชัย จ.มหาสารคาม เผยว่า ตนเลี้ยงจระเข้มาประมาณ 3 ปี หลังจากคำนวนค่าใช้จ่ายเเล้วเป็นกิจการที่เติบโตได้ดี ปัจจุบันเลี้ยงมาทั้งหมด 3 รุ่น เมื่อเปรียบเทียบรายได้กับต้นทุนถือว่าราคาอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ ส่วนการรับซื้อจะวัดตามความกว้างของผืนหนังจระเข้ ถ้าหากวัดรอบตัวได้ประมาณ 60 เซนติเมตร ราคาจะตกอยู่ที่เซนติเมตรละ 135-140 บาท ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับขนาดเฉลี่ย ประมาณ 9,000-10,000 บาท/ตัว จากต้นทุนตัวละ1,800-2,800 บาท/ตัว คิดเป็นกำไรต่อตัวประมาณ 5,000 บาทต่อ 3 ปี
“หากมองการใช้พื้นที่ 1 ไร่ เลี้ยงจระเข้ได้ 300 ตัวต่อ 1 ไร่ มีรายได้ ขายไป 370,000 บาท ได้กำไรอยู่ที่ 100,000 บาท พื้นที่ตรงนั้นก็จะมีกำไรตกอยู่ปีละ 300,000 บาท ถ้าเราเปรียบเทียบกับการทำเกษตร อย่างปลูกข้าว 10 ไร่ อย่างเก่งก็มีรายได้ปีละ 50,000 บาท แต่ถ้าเลี้ยงจระเข้จะมีรายได้ปีละ 30,000 บาทต่อไร่” นายไพรัชกล่าว
ในส่วนของกระบวนการขายหลังจากบริษัทนำลูกจระเข้มาให้เพื่อเพาะเลี้ยง ถือว่าเป็นการทำ สัญญาเรียบร้อยในราคาที่บริษัทตกลงกับผู้ลงทุนพร้อมทั้งรับประกันเรื่องราคาการรับซื้อคืน อีกสาเหตุหนึ่ง คือจระเข้เป็นที่ต้องการอย่างมากในตลาดส่งผลให้บริษัทผลิตลูกพันธุ์ไม่เพียงพอต่อความต้องการ จึงทำให้ไม่มีการผกผันเรื่องราคา ถือเป็นเรื่องที่ดีอย่างมากสำหรับผู้ลงทุน
สำหรับเกณฑ์การพิจารณาราคานั้น บริษัทจะวัดที่คุณภาพหนัง ซึ่งจะรับหนังจระเข้ที่โตเต็มวัยแล้ว ในสถานะพร้อมขาย ทำการวัดขนาด วัดคุณภาพหนัง และตรวจสอบโดยการวัดขนาดรอบอกจระเข้ ซึ่งถือได้ว่าเป็นผลิตภัณฑ์หลักของจระเข้ ส่วนเนื้อ กระดูก และเกร็ดเลือด ถือเป็นผลพลอยได้ อีกทั้งจระเข้ต้องมีอายุอย่างน้อย 3 ปี จึงจะสามารถฟอกหนังได้ เพราะถ้าหากต่ำกว่า 3 ปี หนังจะไม่มีคุณภาพเท่าที่ควร
ทั้งนี้ก่อนมีการเพาะเลี้ยงจระเข้ต้องทำการขออนุญาตจากสำนักงานประมงจังหวัดในพื้นที่นั้น ๆ เนื่องจากจะต้องมีการตรวจสอบ ดูความแข็งแรงของบ่อ ระยะทางที่ห่างจากชุมชน และการพิจารณาพื้นที่ที่เหมาะสมในการเลี้ยงจระเข้ ซึ่งจระเข้ส่วนใหญ่จะเลี้ยงในที่เงียบ ๆ เพราะเป็นสัตว์ที่ตกใจง่ายมาก ถ้าหากได้ยินเสียงดังจะตกใจจนทำให้ชะงักการกินอาหารได้ นอกจากนี้ยังต้องระวังเรื่องโรคที่จะตามมา ทั้งทางน้ำและอาหาร แต่ปัจจุบันในกรณีที่จระเข้ป่วยจะมียาจากบริษัทตัวหนึ่งคือยาฆ่าเชื้อในน้ำใช้ในการควบคุม ไม่ให้เกิดการติดเชื้อในน้ำ และประเภทยาฆ่าเชื้อทางอาหาร เพื่อไม่ให้ติดเชื้อในอาหาร เนื่องจากอาหารที่ให้อาจมีเชื้อโรคเจือปนจนทำให้เกิดอันตรายได้
นายไพรัชกล่าวต่อว่า ในอนาคตจะมีการขยายบ่อเนื่องจากปัญหาการทิ้งระยะห่างจนเกินไป โดยตั้งเป้าไว้ที่ปีละ 1 รุ่น เพื่อส่งขายปีต่อปี จากที่ปกติส่งในระยะเวลา 3 ปี เปลี่ยนเเปลงมาเป็นการทำบ่อ 3 ระยะ คือ ระยะเตรียมขาย ระยะขุน ระยะฟัก หลังจากเลี้ยงเข้าปีที่ 2 ก็จะสั่งลูกพันธุ์เข้ามาสำรองไว้ เป็นชุดที่ 2 เมื่อเข้าปีที่ 3 ก็จะสามารถพร้อมขายได้ทันที และรุ่นสองก็จะถูกเลื่อนเข้าไปนับเป็นเป็นวัฏจักร
ถึงแม้การเลี้ยงจระเข้ในปัจจุบันถือเป็นที่แพร่หลายสำหรับผู้ที่ต้องการหารายได้เสริมโดยที่ไม่ใช้เวลาในการดูแลมากนัก แต่ทั้งนี้ไม่ใช่ว่าการเลี้ยงจระเข้จะสามารถซื้อลูกของจระเข้มาแล้วทำการเลี้ยงเเละเปิดฟาร์มได้ทันที เนื่องจากจระเข้เป็นสัตว์คุ้มครอง จึงต้องทำการขออนุญาตจากสำนักงานประมงจังหวัดที่ดูแลในพื้นที่นั้น
นายทองสุข ฝาเทพ เจ้าหน้าที่งานประมงชำนาญงาน สำนักงานประมงจังหวัดมหาสารคามกล่าวว่า ตามหลักความเป็นจริงแล้วในแนวทางปฏิบัติ ก่อนเกษตรกรจะเลี้ยงจระเข้ต้องศึกษารูปแบบการเลี้ยงจากฟาร์มที่ประสบผลสำเร็จ จากนั้นต้องมาขอใบอนุญาตขึ้นทะเบียนเพาะเลี้ยง (สป.15) ซึ่งมีอายุ 3 ปี นับจากวันอนุมัติ ต่อมาต้องขอใบอนุญาตให้ค้าสัตว์ป่าคุ้มครองที่ได้มาจากการเพาะพันธุ์ (สป.11) ใบอนุญาตดังกล่าวจะมีอายุ 1 ปี และขั้นตอนสุดท้ายเมื่อจระเข้เติบโตพร้อมจำหน่ายแล้ว ต้องมาขอใบอนุญาตเคลื่อนย้าย (สป.13) ซึ่งจะมีอายุเพียง 5 วัน หากเกษตรกรไม่ทำตามขั้นตอนดังกล่าวจะต้องระวางโทษจำคุก 4 ปี ปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ส่วนกรณีเคลื่อนย้ายจระเข้เพื่อการค้าโดยไม่ได้รับอนุญาตมีโทษปรับไม่เกิน 5,000 บาท
อย่างไรก็ตาม มาตรการดูแลและควบคุมจระเข้นั้นสำนักงานประมงจังหวัดมหาสารคามไม่มีบทบาทที่รัดกุม เนื่องจากเจ้าหน้าที่ไม่เพียงพอและไม่มีเวลาลงพื้นที่ควบคุมมากนัก แต่จะใช้วิธีให้เกษตรกรสร้างบ่อเพาะเลี้ยงให้ได้มาตรฐานคือ ความสูงของอิฐไม่ต่ำกว่า 7 ก้อน และต้องมีกรงตาข่ายอย่างแน่นหนาเพื่อป้องกันไม่ให้จระเข้หลุดออกจากบ่อ ในส่วนของจังหวัดมหาสารคามมีเกษตรกรที่เพาะเลี้ยงจระเข้ประมาณ 110-125 ราย เฉลี่ยแล้วมีจระเข้รวมทั้งสิ้นภายใน จ.มหาสารคาม 14,000-14,500 ตัว
นายทองสุขให้ข้อมูลอีกว่า เกษตรกรส่วนใหญ่เป็นข้าราชการที่ปลดเกษียณหรือใกล้ปลดเกษียณ เพราะจระเข้ต้องใช้ต้นทุนเริ่มต้นสูง ซึ่งกลุ่มผู้เพาะเลี้ยงดังกล่าวค่อนข้างที่จะมีกำลังทรัพย์ นอกจากนี้จระเข้ ยังเป็นสัตว์ที่เลี้ยงง่ายและมีเวลาว่างในการดูแลอย่างมาก เพราะไม่ต้องหมั่นให้อาหารเฉลี่ยแล้วการให้อาหารจระเข้นั้นจะให้เพียงสัปดาห์ละ 2-3 ครั้งเท่านั้น
ถึงแม้การเลี้ยงจระเข้อาจจะใช้เวลาไม่นานมากนักในการดูแล แต่เนื่องจากการเพาะเลี้ยงในระยะ เวลานานถ้าหากเทียบกับความต้องการทำให้จระเข้เป็นที่ต้องการของตลาดอย่างมาก ถือได้ว่าจระเข้ใน ปัจจุบันยังขาดตลาดอยู่อย่างเห็นได้ชัดส่งผลให้ในอนาคตอาจจะมีเกษตรกรหรือผู้ที่สนใจหารายได้เสริม หันมาเลี้ยงจระเข้เพิ่มมากขึ้น เพื่อสร้างรายได้ให้กับตัวเองนับเป็นอีกทางเลือกเสริมที่กำลังน่าจับตามองเป็นอย่างมาก