มมส ยันการสอบ MSU IT Exit – Exam และ MSU English Exit – Exam สามารถวัดคุณภาพของนิสิตทุกคณะได้จริง แจงนิสิตต้องเรียนรู้เพิ่มเติมด้วยตนเอง ชี้จะมีการรายงานข้อมูลและจำนวนนิสิตที่ไม่ผ่านการสอบไปทุกคณะและมหาวิทยาลัย เพื่อให้ผู้บริหารรับทราบและจัดทำแผนปรับปรุงการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ด้านนิสิตเผยอยากให้มีการสอบ MSU Exit – Exam ต่อไป แต่ควรมีการปรับปรุงข้อสอบให้สอดคล้องกับยุคสมัยมากขึ้น
ตามที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม (มมส) ได้มีการจัดสอบ MSU Exit – Exam ขึ้นเพื่อเป็นการประเมินคุณภาพด้านภาษาอังกฤษ (MSU English Exit – Exam) และด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ (MSU IT Exit – Exam) เป็นนโยบายบังคับสำหรับนิสิตระดับปริญญาตรี ชั้นปีที่ 3 ทุกคณะ โดยเกณฑ์การเข้าสอบจากจำนวนนิสิตทั้งหมดของแต่ละคณะคิดเป็น 80% เกณฑ์ในการสอบผ่านของนิสิตแต่ละคนคือ 50% แต่จากการสำรวจเบื้องต้นพบว่า มีนิสิตอีกหลายคนไม่ผ่านในการสอบครั้งนี้ จึงเกิดคำถามขึ้นว่าการสอบ Exit – Exam นั้น สามารถวัดคุณภาพของนิสิตได้จริงหรือไม่
ผศ.ดร.ดวงเด่น นาคสีหราช อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ ภาควิชากฎหมายมหาชน มหาวิทยาลัยมหาสารคาม กล่าวถึงการสอบ MSU Exit – Exam ว่า สิ่งที่ได้คือประกันคุณภาพระดับคณะ ทุกคนที่จบไปควรจะมีความรู้ภาษาอังกฤษเพื่อนำไปใช้ในอนาคต ดังนั้น ข้อสอบ Exit – Exam จึงเกิดขึ้น เพราะภาษาอังกฤษจำเป็น แต่พื้นฐานของนิสิตแต่ละคนที่จบมาจากชั้นมัธยมไม่เท่ากัน จึงมีคนสอบผ่านจำนวนน้อย ทั้ง ๆ ที่ข้อสอบนั้นไม่ได้ต่างจากระดับมัธยม หากจะโทษนิสิตที่มาสอบก็คงไม่ได้ เพราะพื้นฐานที่ถูกปลูกฝังมาไม่เท่ากัน
“ถามว่าพิสูจน์อะไรได้ไหม พิสูจน์ว่าภาษาอังกฤษของแต่ละคณะต้องปรับปรุงมากแค่ไหนต่างหาก และการศึกษาของเรายังต้องปรับปรุง ต้องพัฒนาเยอะมาก เพราะกลายเป็นว่าสอนเรื่องเดิมทั้งที่สอนระดับมัธยมมาแล้ว ควรจะมาสอนเกี่ยวกับวิชาชีพ ภาษาอังกฤษในวิชาชีพ หรือภาษาอังกฤษเฉพาะด้าน ทั้งที่เป็นระดับมหาวิทยาลัย การสื่อสารจริง ๆ ในโลกของเราไม่ได้แค่คนอเมริกันหรือคนอังกฤษ อาจจะเป็นคนอินเดีย คนพม่า คนชาติอื่น ๆ ความหลากหลายของภาษาจำเป็นต้องมี แต่พื้นฐานของภาษาที่ดีในการพูด ก็คืออเมริกันหรือบริติช เพียงแต่ส่วนนี้ไม่ใช่สาระสำคัญ การสื่อสารคือการทำอย่างไรก็ได้ให้ฝ่ายตรงข้ามเข้าใจ ไม่ว่าคุณจะสำเนียงไหนก็ตาม การสื่อสารเป็นหน้าต่างของหลาย ๆ อย่าง ดังนั้น อาจารย์มองว่าการสอบนี้ควรจะมีต่อไป” ผศ.ดร.ดวงเด่น กล่าว
นางสิรีวรรณ ตติยรัตน์ หัวหน้างานพัฒนาศักยภาพ ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม เปิดเผยว่า จุดประสงค์ของการสอบ IT Exit – Exam เพื่อวัดผลสัมฤทธิ์ของการเรียนรู้ และวัดความรู้ความสามารถทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศของนิสิตระดับปริญญาตรีก่อนสำเร็จการศึกษา รวมถึงสามารถนำผลสอบไปประกอบการสมัครเข้าทำงาน และนิสิตสามารนำความรู้ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศไปประยุกต์ใช้ในการทำงานหลังจากสำเร็จการศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในส่วนของข้อสอบทุกคณะมีการใช้ชุดข้อสอบเดียวกันทั้งหมด มีทั้งหมด 50 ข้อ ซึ่งข้อสอบจะถูกสุ่มมาจากคลังข้อสอบที่ได้ผ่านการพิจารณาการประชุมจากคณะกรรมการออกข้อสอบ ว่าสามารถใช้ในการทดสอบนิสิตได้ โดยในคลังข้อสอบนั้นจะมีข้อสอบจำนวนมากกว่า 500 ข้อ ข้อสอบที่นิสิตได้รับโดยระบบการสุ่มนั้น มีโอกาสสูงที่นิสิตแต่ละคนจะได้ข้อสอบไม่เหมือนกัน เนื่องจากระบบการสุ่มนั้นจำแนกเป็น ง่าย 15 ข้อ, ปานกลาง 15 ข้อ และยาก 20 ข้อ
นางสิรีวรรณ เผยต่ออีกว่า สำหรับข้อมูลและจำนวนนิสิตที่ไม่ผ่านการสอบ จะมีการรายงานผลไปยังแต่ละคณะที่นิสิตสังกัดอยู่และรายงานผลต่อมหาวิทยาลัย ให้ทางผู้บริหารมหาวิทยาลัยได้รับทราบและจัดทำแผนปรับปรุงการเรียนการสอน ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ด้าน ดร.อัญญารัตน์ นาถธีระพงษ์ รองผู้อำนวยการฝ่ายกิจการพิเศษและพัฒนาภาษาต่างประเทศ สำนักศึกษาทั่วไป มหาวิทยาลัยมหาสารคาม กล่าวว่า สำนักศึกษาทั่วไปทำหน้าที่เป็นศูนย์ประสานงาน เพื่อประสานกับคณะแทนมหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมีนโยบายว่า นิสิตที่จบมหาวิทยาลัยควรจะมีความรู้เกี่ยวกับภาษาอังกฤษและไอที ในระดับที่สามารถนำไปทำงานได้ สำนักศึกษาทั่วไปทำหน้าที่ในการจัดสอบภาษาอังกฤษ เป็นวิชาแกนกลาง ซึ่งอาจารย์ภาควิชาภาษาตะวันตกจะประเมินระดับภาษา ซึ่งนิสิตที่เรียนจบแล้วควรจะมีภาษาในระดับที่สามารถนำไปทำงานได้ ภาษาอังกฤษในประเทศไทยจะใช้เกณฑ์ของ CEFR หรือเกณฑ์มาตรฐานการประเมินความสามารถทางภาษา จากประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรป ซึ่งมีการใช้กันทั่วโลก ตั้งแต่ระดับ A1 (ระดับเริ่มต้น) A2 (ระดับต้น) B1 (ระดับกลาง) B2 (ระดับกลางสูง) C1 (ระดับสูง) C2 (ระดับชำนาญ) โดยแต่ละเกณฑ์จะสามารถบอกว่าผู้สอบอยู่ในระดับใด ซึ่งเป็นมาตรฐานการประกันคุณภาพ
“ถ้านิสิตสอบผ่านจะเป็นการประกันว่า ตัวนิสิตมีความสามารถพอที่จะจบไปแล้วมีงานทำ ซึ่งจริง ๆ แล้วมันเป็นทักษะของคนที่เรียนในระดับมหาวิทยาลัย ควรจะมีทักษะเหล่านี้อยู่ในตัวอยู่แล้ว ส่วนนิสิตจะได้ความรู้เหล่านั้นมาอย่างไรบ้าง ก็ขึ้นอยู่กับตัวนิสิตเอง เช่น ข้อสอบเก่าก็สามารถหามาลองทำได้ และยังมีการจัดติวที่คณะ ปีที่ผ่านมามีคนสอบผ่านเพียงแค่ 10% แต่ปีนี้สอบผ่านประมาณ 20% นั่นหมายความว่าเด็กเริ่มตระหนักว่าการสอบมีความจริงจังมากขึ้น และนิสิตสามารถดูข้อสอบย้อนหลังได้ เด็กมีการเตรียมตัว จึงทำให้จำนวนเปอร์เซ็นต์เพิ่มขึ้นไปด้วย และถือว่าเป็นแนวโน้มที่ดี บางอย่างต้องใช้เวลา การที่จะสร้างความตระหนักกับนิสิตว่าการสอบนี้มันจะมีผลต่ออนาคตอย่างไร” ดร.อัญญารัตน์ กล่าว
นายชนกนันท์ ธรรมศิลป์ นิสิตชั้นปีที่ 3 คณะวิทยาลัยการเมืองการปกครอง มหาวิทยาลัยมหาสารคามกล่าวว่า ข้อสอบที่ได้รับไม่ยากนัก และคิดว่าเป็นประโยชน์ด้วย เนื่องจากสอบเกี่ยวกับ Microsoft Word และ Microsoft Excel ซึ่งน่าจะเป็นประโยชน์ในการสมัครงาน และตัวเองก็มีพื้นฐานด้านไอทีอยู่แล้ว จึงสามารถทำได้
นางสาวชลิดา ลี้พงษ์กุล นิสิตชั้นปีที่ 3 คณะการบัญชีและการจัดการ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม กล่าวว่า สามารถทำข้อสอบได้ทั้งภาษาอังกฤษและไอที และคิดว่าในการสอบทั้งสองมีความเชื่อมโยงกันสูงมาก เพราะภาษาอังกฤษสามารถนำมาใช้ในการสื่อสารในชีวิตประจำวัน รวมทั้งใช้กับการอ่านและเขียนเชิงไอทีได้ด้วย เพราะไอทีเป็นเหมือนส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน ที่ต้องเรียนรู้และนำมาใช้งาน ทั้งในการทำงานและการเรียน ในส่วนของข้อสอบถือว่าไม่ยากมาก สามารถวัดระดับคุณภาพการศึกษาของนิสิตได้ มองว่าควรมีการสอบ MSU Exit – Exam ต่อไป เพราะสามารถวัดระดับการศึกษาของนิสิต และวัดระดับคุณภาพการเรียนการสอนของอาจารย์ได้อีกด้วย
นางสาวบุษบา ภูเก้าแก้ว นิสิตชั้นปีที่ 3 คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม กล่าวว่า การสอบภาษาอังกฤษ คะแนนที่ทำได้ค่อนข้างดี ข้อสอบไม่ได้ยากเกินไป เพราะเป็นการสอบเกี่ยวกับพื้นฐานทั่วไป ด้วยความที่เรียนสายภาษามาและความชอบภาษาเป็นส่วนตัว เลยทำให้สามารถทำข้อสอบได้ ส่วน IT คะแนนกลาง ๆ ข้อสอบบางข้อก็มองว่าไม่จำเป็น บางข้อก็ยากไป บางข้อก็ทำได้หรือเจอข้อสอบข้อที่ไม่ทราบก็สามารถตอบได้ ข้อสอบสามารถวัดความรู้เราก่อนที่เราจะออกไปฝึกงาน หรือก่อนเรียนจบไปปฏิบัติงานจริงนั้น เรามีความรู้เกี่ยวกับด้านนั้น ๆ มากน้อยเพียงใด อีกทั้งผลสอบหากอยู่ในเกณฑ์ที่ดี ก็สามารถเอาไปอ้างอิงเวลาเราสมัครงานหรือขอทุนได้ด้วย
นางสาวบุษบา กล่าวเสริมอีกว่า สำหรับข้อสอบภาษาอังกฤษคิดว่า บางส่วนก็ง่ายไป อาจจะวัดทักษะความสามารถทางด้านภาษาได้ไม่ครอบคลุม คำถามควรจะถามเกี่ยวกับสิ่งที่ใช้ในชีวิตประจำวันหรือเกี่ยวกับธุรกิจการทำงานมากกว่า สำหรับข้อสอบไอที มี 2 ชุด ชุดหนึ่งง่าย อีกชุดค่อนข้างยาก ควรทำเป็นชุดเดียวแบบเดียวกัน บางอย่างที่เก่าไป เช่น ช่องใดเสียบลำโพง สายนี้คือสายอะไร ระบบอินเทอร์เน็ตมีอะไรบ้าง แบบใดเป็นเช่นไรบ้าง บางทีเวลานำไปใช้ในชีวิตประจำวันก็นำไปใช้ได้ค่อนข้างน้อย
“ปัจจุบันก็เป็นยุคไฮเทคแล้ว ทันสมัยกว่าเดิม อีกอย่างมีข้อสอบเกี่ยวกับแอพและแอนดรอย หากนิสิตใช้ต่างประเภทกัน ก็แน่นอนว่านิสิตคนนั้นทำข้อสอบในข้อนั้น ๆ ไม่ได้ ถึงแม้จะมีการจัดติวก่อนสอบ แต่สิ่งที่ติวหรือสอนกับข้อสอบไม่เหมือนกัน คิดว่าการสอบควรมีต่อไป แต่ต้องออกข้อสอบวัดความรู้นิสิตที่สามารถนำไปได้จริงในชีวิตประจำวัน ส่วนข้อสอบภาษาอังกฤษ ในส่วนของการฟังมีปัญหา ควรเปิดเทปเป็นข้อ ๆ แยกเป็นข้อ ๆ ให้ชัด ทั้งนี้ ข้อสอบไอที ข้อสอบบางส่วนยากไป บางส่วนใช้ไม่ได้จริง บางส่วนง่ายไป ซึ่งก็จะส่งผลต่อคะแนนของนิสิตและภาพลักษณ์รวมของสาขา คณะ และมหาวิทยาลัยต่อไป” นางสาวบุษบา กล่าว