สภาคณาจารย์จัดเวทีประชุมประชาพิจารณ์รับฟังความคิดเห็น ยันเดินหน้าเร่งแก้ไขทุกปัญหาของพนักงานตามที่ประชาคมเสนอ ขณะที่ มมส เล็งปรับฐานเงินเดือนพนักงาน 1 ต.ค. นี้ หลังยืดยื้อมานานกว่า 3 ปี
จากกรณีที่หนังสือพิมพ์สื่อมวลชนได้เกาะติดประเด็นการเตรียมปรับค่าจ้างพนักงานมหาวิทยาลัยมหาสารคาม (มมส) ในช่วงที่ผ่านมานั้น ล่าสุดเมื่อวันที่ 2 กันยายน 2559 เวลา 13.00 น. สภาคณาจารย์ได้มีการจัดเวทีประชุมประชาพิจารณ์รับฟังความคิดเห็นของประชาคมชาว มมส ภายใต้หัวข้อ การกำหนดภาระงานเพื่อขอค่าตอบแทนตำแหน่งทางวิชาการ (2 เท่า) การปรับฐานเงินเดือนของพนักงานมหาวิทยาลัย การจัดสวัสดิการและการจัดกิจกรรมของบุคลากร นำโดย ผศ.ดร.วิรัติ ปานศิลา ประธานสภาคณาจารย์ และ ผศ.ดร.ประยูร วงศ์จันทรา รองประธานสภาคณาจารย์ คนที่ 1 มหาวิทยาลัยมหาสารคาม และมี ศ.ดร.สัมพันธ์ ฤทธิเดช อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ร่วมรับฟังความคิดเห็นในครั้งนี้
ผศ.ดร.ประยูร วงศ์จันทรา รองประธานสภาคณาจารย์ คนที่ 1 มหาวิทยาลัยมหาสารคาม เปิดเผยภายหลังการประชุมประชาพิจารณ์ว่า ในเรื่องการปรับฐานเงินเดือนของพนักงานมหาวิทยาลัย หลังจากถูกยืดเยื้อไม่ยอมปรับมานานกว่า 3 ปี ล่าสุดอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาสารคามชี้แจงว่าจะปรับฐานเงินเดือนแก่พนักงาน ในวันที่ 1 ตุลาคม 2559 โดยพนักงานวุฒิปริญญาตรีจะได้เงินเพิ่ม 1.3 เท่า วุฒิปริญญาโทจะได้เงินเพิ่ม 1.4 เท่า และวุฒิปริญญาเอกจะได้เงินเพิ่ม 1.5 เท่า แต่ขณะเดียวกันยังไม่มีการปรับเพิ่มเงินค่าจ้างร้อยละ 4 เนื่องจากมติคณะรัฐมนตรีไม่มีความชัดเจน
ผศ.ดร.ประยูร กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมาการให้ผลตอบแทนผลงานวิชาการเกิดความไม่เท่าเทียมกันระหว่างข้าราชการและพนักงานมหาวิทยาลัยทั้งที่ใช้คณะกรรมการบริหารงานบุคคลประจำมหาวิทยาลัย หรือ ก.บ.ม. เดียวกัน โดยพนักงานมหาวิทยาลัยจะได้รับค่าตอบแทนตำแหน่งทางวิชาการ 2 เท่า ก็ต่อเมื่อนำเสนอผลงานทางวิชาการที่ตีพิมพ์แล้วในปีนั้น ๆ ไม่ต่ำกว่า 1 เรื่อง หากไม่มีผลงานวิชาการจะได้ค่าตอบแทนเพียงขาเดียว แต่ในขณะเดียวกันข้าราชการไม่จำเป็นต้องเสนอมีผลงานทางวิชาการ ก็สามารถได้รับค่าตอบแทน 2 เท่าตามระเบียบ
ดังนั้น ทางสภาคณาจารย์จึงเสนอทางเลือกให้พนักงานมหาวิทยาลัยไม่ต้องมีผลงานทางวิชาการเพื่อให้เกิดความเท่าเทียมกันกับข้าราชการ หรือหากพนักงานมหาวิทยาลัยจำเป็นต้องมีผลงานทางวิชาการ ข้าราชการก็ควรจะต้องมีผลงานวิชาการเช่นเดียวกัน หรือเสนอให้ปรับผลงานทางวิชาการให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น เช่น ไม่จำเป็นต้องเป็นผลงานหลักคนเดียว 100 เปอร์เซ็นต์ แต่เป็นผลงานวิชาการที่ทำร่วมกันได้ เป็นต้น
ผศ.ดร.ประยูร กล่าวต่อว่า ประชาคมยังเสนอให้พนักงานมหาวิทยาลัยมีสวัสดิการที่ดีขึ้น เช่น ในส่วนของการรักษาพยาบาลอยากให้ครอบคลุมไปถึงบิดามารดาและบุตรโดยสายเลือด ซึ่งเป็นการจ่ายเงินโดยตรงให้แก่โรงพยาบาลสุทธาเวช โดยใช้โมเดลเดียวกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และมีเพดานในการจ่ายต่อครั้ง เช่น ไม่เกิน 30,000 บาทต่อครั้ง ซึ่งโมเดลนี้สภาคณาจารย์ได้คิดมานานแล้ว และจะพยายามผลักดันให้เกิดขึ้น แต่ต้องขอความร่วมมือกันของพี่น้อง มมส ในการรวมพลังลงชื่อด้วย
รองประธานสภาคณาจารย์ คนที่ 1 เผยอีกว่า นอกจากนี้ ประชาคมยังได้เรียกร้องความเป็นธรรมแก่พนักงานที่เป็นลูกจ้างชั่วคราว กรณีที่ไม่ได้มีการปรับขึ้นเงินเดือนและยังไม่ได้รับการเข้าบรรจุ ถึงแม้บางคนจะอยู่มา 10 ปีแล้วและเป็นผู้ที่มีความชำนาญงาน เนื่องจากเกณฑ์ใหม่ได้กำหนดว่าลูกจ้างชั่วคราวต้องสอบ ก.พ. ภาค ก ให้ผ่านก่อน ดังนั้น จึงมีการเรียกร้องให้บรรจุพนักงาน โดยการแก้ข้อบังคับของมหาวิทยาลัย หรือแม้แต่ทางสวัสดิการรักษาพยาบาลลูกจ้างก็จะไม่ได้รับ ทั้งที่การทำงานต้องพึ่งพาพนักงานทุกระดับ แต่ในทางปฏิบัติพนักงานลูกจ้างกลับไม่ได้รับสิทธิและการเหลียวแลเท่าที่ควร
“มมส มีความพร้อมด้านองคาพยพ มหาวิทยาลัยก่อตั้งมาจากมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศ (มศว) แต่ปัจจุบันกลับวกวนอยู่ในอ่าง สภาคณาจารย์ต้องคอยต่อสู้เพื่อสิทธิในหลาย ๆ ด้าน ทั้งที่ความเป็นจริงพนักงานมหาวิทยาลัยทุกคนควรได้รับสิทธิตั้งแต่เริ่มแรก” ผศ.ดร.ประยูร กล่าวทิ้งท้าย