เมื่อผู้บริโภคมีอำนาจมากขึ้นในการเลือกเสพสื่อ คนทำคอนเทนต์จึงกลายเป็นตัวเลือก เพราะพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป หันมาสื่อสารกันทางโลกออนไลน์มากขึ้น จึงเป็นความท้าทายอย่างหนึ่งของคนทำคอนเทนต์ ไม่เพียงต้องทำให้น่าสนใจ แต่จะทำอย่างไรให้คอนเทนต์เราโดดเด่นจนผู้บริโภคไม่อาจละสายตาจากเราได้
มาร่วมหาคำตอบกับเพจหนังสือพิมพ์สื่อมวลชน และเคน นครินทร์ วนกิจไพบูลย์ บรรณาธิการบริหาร The Standard สำนักข่าวออนไลน์หน้าใหม่ไฟแรง มีความคิดสร้างสรรค์ในการเล่าเรื่อง
การสื่อสารในยุคใหม่
โลกกำลังขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี ด้วยการทำคอนเท็นต์ออนไลน์ Facebook Youtube Line today หรือแม้แต่ Netflix ก็เป็นเพียงแพลตฟอร์มออนไลน์ ไม่ได้เป็นคนสร้างคอนเทนต์ เราต่างหากที่เป็นคนป้อนคอนเทนต์เหล่านั้น เช่น ยูทูปเบอร์ก็ผลิตคอนเทนต์วิดีโอผ่านแชแนลยูทูปของตัวเอง หรือคนทั่วไปที่โพสเรื่องราวต่างๆ บนไทม์ไลน์เฟซบุ๊กของตัวเอง
สิ่งที่ตามมาหลังจากการมาเยือนของคลื่นการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี ทำให้ผู้ใหญ่กลายเป็นเด็กในโลกออนไลน์ที่กำลังไล่ตามให้ทันเทคโนโลยี และในยุคนี้โซเชียลมีเดียไม่ใช่แค่การนำเสนอข่าว แต่เป็นได้ทั้งการนำเสนอแบรนด์ การตลาด การโฆษณา หรือการสื่อสารระหว่างกัน ทุกอย่างผ่านสื่อออนไลน์ โซเซียลมีเดียจึงมีพลังมากในการสื่อสารกับคนหมู่มาก
พฤติกรรมของผู้บริโภค
ปัจจุบันคนบนโลกออนไลน์จะมีพฤติกรรมใจร้อนมากขึ้น เพราะเราเห็นฟีดแบคต่อเรื่องๆ หนึ่งได้ทันที และเราโต้ตอบกลับไปได้อย่างทันทีเช่นกัน ซึ่งในบางครั้งบนโลกออนไลน์ก็กลายเป็นสนามอารมณ์ไปโดยปริยาย ดังนั้นเราจึงไม่ควรทำคอนเทนต์ที่ไปเสริมสร้างความดราม่าเพิ่มอีก
เมื่อก่อนผู้ส่งสารคือผู้เลือก ผู้รับสารคือผู้ถูกเลือก แต่ปัจจุบัน ผู้ส่งสารกลับกลายเป็นผู้ถูกเลือก และผู้รับสารเป็นผู้เลือกแทน ผู้รับสารกลายเป็นคนที่มีอำนาจมากในการเลือกเสพสื่อ เพราะอินเทอร์เน็ตเปิดโลกของเรา ผู้ส่งสารยุคนี้จึงต้องถ่อมตัวให้มากที่สุด การจะสร้างคอนเทนต์หนึ่งเรื่องต้องคิดเสมอว่า คนอ่านอยากรู้อะไร อยากฟังอะไร ทำอย่างไรคนอ่านถึงจะไม่รำคาญเรา
การจะเป็นสื่อที่ดีต้องมีแนวคิด ต้องทันต่อเหตุการณ์ที่เข้ามาอย่างรวดเร็ว ทำให้ผู้รับสารสามารถดูที่ไหนและเวลาใดก็ได้ เพราะผู้รับสารเป็นคนควบคุมเวลาและสถานที่เองในการเสพคอนเทนต์ และเลือกได้เองว่าจะเสพคอนเทนต์รูปแบบใดที่ทำให้เข้าใจง่าย สนุก และมีเสนห์ ซึ่งรูปถ่ายและวีดีโอจะเป็นรูปแบบที่มีอิมแพค (Impact – ผลกระทบ) มากที่สุด
ปัจจุบันโลกของเราเป็นโลกของการแชร์ ชอบกดไลค์ ใช่กดแชร์ ใครๆ ก็อยากแชร์ เรื่องที่ตัวเองสนใจ การแชร์มีพลังสูงเพราะเป็นการกระจายที่รวดเร็ว และสิ่งที่คนทำคอนเทนต์ต้องตั้งคำถามกับตัวเองอยู่เสมอ ก็คือที่เราทำไปมันน่าแชร์หรือไม่ แล้วคนแชร์ไปเพราะอะไร แชร์เพื่อบอกตัวตน แชร์เพื่อความสนุก
แปลก ดี แหลมคม คือ คอนเทนต์ที่ดี
การดึงความสนใจ ด้วยความน่ารัก ความแปลก ลองสังเกตดูว่าทำไมคนชอบแชร์หมา แชร์สิ่งแปลกๆ เพราะมันน่ารัก และน่าสนใจ คอนเทนต์ที่มีเสน่ห์มักจะได้รับความนิยมเสมอ และคอนเทนต์ที่สร้างประโยชน์ให้ตัวเอง ไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องที่หนัก แต่เป็นเรื่องที่อาจส่งผลกระทบกับตัวเรา เรื่องที่สำคัญกับชีวิตคน จึงเป็นคอนเทนต์ที่ดีเสมอ
เมื่อใดก็ตามที่เราสามารถนำเรื่องที่ดี ประเด็นแหลมคม ช่วยเหลือคน เรื่องใกล้ตัวคนดัง บวกกับการเล่าที่ดี จะทำให้คอนเทนต์ที่นำเสนอออกมากลายเป็นสื่อที่คนชื่นชอบ
การมีสายตาที่แหลมคมในการหาเรื่องใหม่เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญ โดยสิ่งนั้นจะมาจากการตั้งคำถามใหม่ๆ แปลกๆ กับปัญหาที่เจอ เช่น พระพุทธเจ้าเป็นโรคซึมเศร้าบ้างหรือไม่ คำถามที่ดีจะนำมาสู่คอนเทนต์ที่ดี นำมาสู่กระบวนการใหม่ๆ เสมอ คนทำคอนเทนต์จึงต้องมีคุณสมบัติช่างคิดช่างสงสัยอยู่เสมอ
Big idea หัวใจหลักของการเล่าเรื่อง
หาเรื่อง ! เรื่องที่ดีต้องมาจากบิ๊กไอเดีย บิ๊กไอเดียต้องนำมาก่อนเสมอ เราต้องการจะบอกอะไรกับคนอ่าน สิ่งที่อยากนำเสนอคนอ่านคืออะไร บางครั้งข่าวก็ไม่ต้องหนักเสมอไป เป็นคอนเทนต์น่ารักๆ เข้าใจง่ายได้ยิ่งดี
หาเล่า ! ประโยคแรกในการเริ่มเล่าเรื่องต้องเปิดให้น่าสนใจ ดึงให้คนไม่ละสายตาจากสิ่งที่กำลังอ่าน กำลังดู ตามต่อจนถึงประโยคสุดท้าย และต้องหาเหตุผลให้กับประโยคที่ตัวเองจะสื่อให้ได้ ย่อหน้าแรกจึงสำคัญที่สุด ซึ่งไม่ได้หมายถึงงานเขียนอย่างเดียว มันรวมถึงงานวีดีโอด้วยเช่นกัน เล่าเรื่องยากให้เข้าใจง่ายแต่น่าสนใจ เล่าง่ายไม่ใช่มักง่าย ทำอย่างไงให้คนเข้าใจในสิ่งที่เรานำเสนอ นักเล่าเรื่องก็ไม่ต่างจากเชฟที่หาวัตถุดิบที่ดีได้ก็ต้องปรุงอาหารออกมาให้ดีได้เช่นกัน และปิดให้คนจดจำ เมื่อเราปูเรื่องมาอย่างสวยงามแล้ว ต้องไม่ตายตอนจบด้วยการจบแบบไม่คลี่คลาย จบแบบเกิดคำถามว่า “นี่จบแล้วเหรอ”
ในสังคมเราเต็มไปด้วยคนเก่ง และก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเราก็ต้องการทำงานกับคนเก่ง แต่คนเก่งที่พร้อมจะเรียนรู้อยู่เสมอนั้น น่าสนใจยิ่งกว่า
“เมื่อไหร่ก็ตามที่หกล้ม จงจำใจว่าอย่าหกล้มท่าเดิม เรียนรู้จากการหกล้มนั้น”