เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2561 เวลา 10.00-15.00 น. ณ จัมป์สเปซ จ.ขอนแก่น คณะทำงานคุ้มครองผู้บริโภคสื่อ ภายใต้กรรมการจริยธรรม สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ จัดทำเวทีเสวนาแลกเปลี่ยนมุมมองการทำงานร่วมกันระหว่างตัวแทนสื่อมวลชนกระแสหลัก สื่อมวลชนส่วนภูมิภาค กับตัวแทนของผู้ผลิตสื่อออนไลน์ นักวิชาการ ผู้แทนหน่วยงานองค์กรภาครัฐ และเอกชน เพื่อนำเสนอแนวคิดการทำงานร่วมกันบนหลักการสิทธิเสรีภาพ ความรับผิดชอบต่อสังคม การคุ้มครองผู้บริโภค และหลักการประชาธิปไตยที่เน้นการมีส่วนร่วมของพลเมือง รวมถึงเป้าหมายสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน
ภายในงานมีผู้เข้าร่วมวงเสวนากว่า 20 คน เป็นบุคคลในแวดวงสื่อ ไม่ว่าจะเป็นสภาการหนังสือพิมพ์ บรรณธิการหนังสือพิมพ์ เว็บไซต์กระปุกดอทคอม ผู้ผลิตสื่อเครือข่ายชุมชน รวมถึงอาจารย์ด้านนิเทศศาสตร์ มนุษยศาสตร์ ด้วยบรรยากาศที่ไม่เป็นทางการนัก เนื่องจากต้องการให้ทุกคนสามารถแลกเปลี่ยนมุมมองกันได้อย่างทั่วถึง
นายเจริญลักษณ์ เพ็ชรประดับ กรรมการและเลขานุการ มูลนิธิชุมชนขอนแก่นทศวรรษหน้า และบรรณาธิการหนังสือพิมพ์อีสานบิซ เกริ่นนำเข้าสู่วงเสวนาอย่างเป็นทางการว่า ในยุคที่สื่อกำลังจะเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยีประชาชนจะได้อะไรบ้าง พวกเราเป็นเพียงส่วนหนึ่งซึ่งเปรียบเสมือนฟันเฟืองในการขับเคลื่อนขบวน หน่วยงานวิชาการก็เป็นฟันเฟืองหนึ่ง หน่วยงานรัฐก็เป็นอีกฟันเฟืองหนึ่ง และสุดท้ายคำตอบจะอยู่ที่ประชาชน ดังนั้น ถ้าพลเมืองรู้เท่าทันสื่อ พลเมืองก็จะมีพลัง เป็นพลังพลเมืองเพื่อขับเคลื่อนสังคมต่อไป
นายธวัชชัย โครตวงษ์ ผอ.สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (DEPA) ภาคอีสาน กล่าวถึงดิจิทัลกับคนอีสานไว้ว่า ภาครัฐให้ความสำคัญกับการใช้เทคโนโลยีในการพัฒนาทั้งคนและเมือง พัฒนาคนโดยการจัดอบรมเกี่ยวกับการใช้โซเชียลมีเดีย ทั้งเรื่องมารยาทในโซเชียลและการดูแลเว็บไซต์ (ร่วมกับคณะบัญชีและการจัดการ มมส) และพัฒนาเมือง (City Data Platform) อย่าง Smart City รูปแบบเมืองอัจฉริยะ นำร่องพัฒนาใน 3 จังหวัด ได้แก่ ขอนแก่น ภูเก็ต เชียงใหม่ โดยขอนแก่นเน้น Smart Mobility (ด้านการคมนาคม) Smart Economy (ด้านเศรษฐกิจ) Smart Living (ด้านการแพทย์)
สำหรับดร.เอื้อจิต วิโรจน์ไตรรัตน์ อดีตผู้อำนวยการโครงการมิเดีย มอนิเตอร์ กล่าวถึงดิจิทัลกับการขับเคลื่อนสังคมว่า การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตเกี่ยวข้องกับปัจจัยเงินทุน เรายอมจ่ายค่าแพ็กเก็ตอินเทอร์เน็ตในราคาเดือนละเกือบพันบาทได้ เพราะความจำเป็นที่ต้องใช้ จึงมีความเลื่อมล้ำในการเข้าถึงอยู่ แต่เราสร้างความเท่าเทียมให้เกิดขึ้นได้ โดยการปรับราคาค่าบริการในการใช้อินเทอร์เน็ตให้เป็นมาตราฐานทั้งราคาและคุณภาพ
ด้านการเข้าถึงผู้บริโภคในสื่อออนไลน์ ทันทีที่มีสื่อออนไลน์ สิ่งที่เข้าถึงคนได้เร็วและแรง กลายเป็นมุมมืดเสียส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นการซื้อขายออนไลน์ที่เป็นกำลังเป็นกระแสอยู่ เช่น ยาลดน้ำหนัก ยาขาว ยาปลุกเซ็กซ์ โฆษณาชวนเชื่อออนไลน์ต่างๆ ส่วนเนื้อหาที่ทำให้คนเข้าถึงไม่ใช่เรื่องที่พัฒนาจิตใจ พัฒนาปัญญา แต่เป็นเรื่องที่เร้าอารมณ์ ซึ่งเราจะไม่โทษใคร แต่ต้องตั้งคำถามกับตัวเองว่าทำไมเราถึงผลิตเนื้อหาให้คนทั่วไปเข้าถึงได้ไม่มากพอ เพราะฉะนั้นการเข้าถึงดิจิทัลจึงทำให้คนแตกเป็นส่วนๆ คนส่วนหนึ่งจะเข้าหาสิ่งที่ตัวเองชอบ สนใจในเรื่องดีๆ คนส่วนหนึ่งจะเข้าหาเนื้อหามุมมืด เรื่องลามกอนาจาร เป็นต้น
“การที่ดิจิทัลเข้าโดยที่เรายังไม่มีวัฒนธรรม ยังไม่มีใครรู้ว่าควรจะทำอย่างไรกับสื่อนี้ เราควรที่จะต้องปลูกฝังแบบแผนการใช้สื่อออนไลน์ แล้วให้รู้ว่าดิจิทัลให้อะไรกันสังคมในด้านไหนบ้างหรือสื่อออนไลน์ทำให้ชีวิตดีขึ้น แต่ก็ไม่ใช่ว่าสื่อออนไลน์จะนำเสนอเนื้อหามุมมืดเสมอไป แต่ถ้าจัดสัดส่วนเนื้อหาแล้ว มุมสีเทา กับสีดำมันมีมากกว่า มักผลิตเรื่องที่ทำให้ยอดไลค์ ยอดวิวพุ่งสูงขึ้น โดยอาจจะไม่ได้คำนึงถึงเนื้อหาที่เหมาะสม ซึ่งสิ่งที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือ สื่อหลักนำมาผลิตซ้ำตามสื่อออนไลน์ นำเสนอข่าวดราม่า ประเด็นเรื่องเพศ และใช้ภาษาที่ไม่เหมาะสม ”ดร.เอื้อจิตร กล่าวเสริม
อาจารย์นพพร พันธุ์เพ็ง ประธานสื่อสร้างสุข กล่าวถึงบทบาทและการเข้าถึงสื่อออนไลน์ของชุมชนว่า เฟซบุ๊กและไลน์มีอิธิพลต่อคนในชุมชนมาก เราพยายามผลักดันให้ใช้อย่างถูกต้อง มีการจัดอบรมผลิตสื่อ โดยใช้สมาร์ทโฟนในการถ่ายและตัดต่อคลิปที่จะนำเสนอ เพื่อให้ชาวบ้านเข้าถึงได้ง่ายขึ้น และ รู้เท่าทัน ถ้าคนในชุมชนเข้าถึงสื่อก็จะทำให้พัฒนาได้เร็ว คนในพื้นที่สามารถสร้างคอนเทนต์ที่ต้องการได้ การที่จะลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถถึงอินเทอร์เน็ตนั้น อาจจะต้องทำให้ทุกชุมชนนั้นมีไวไฟบริการอย่างทั่วถึง
ในประเด็นการปรับตัวของดิจิทัล สร้างโอกาสและความท้าทายให้กับสื่อ นายชุมพร พารา เจ้าของเว็บไซต์ขอนแก่นลิ้งค์ มองว่า การเข้ามาของสื่อออนไลน์นอกจากจะมีผลกระทบต่อสื่อหลักแล้วยังกระทบต่อเว็บไซต์ ที่เป็นแพลตฟอร์มหลักของออนไลน์ เนื่องจากเฟซบุ๊กเข้ามามีอำนาจในการต่อรองกับสื่อ มีส่วนแบ่งทางการตลาดที่เป็นค่าโฆษณา ทั้งนี้ตนมองว่า การที่ดิจิทัลเข้ามาเป็นโอกาสให้สร้างรายได้ จากการผลิตคอนเทนต์ และเปิดโอกาสให้คนทั่วไปเข้าถึงและแจ้งข้อมูลข่าวสารถึงเราได้
อาจารย์สุรีวัลย์ บุตรชานนท์ ภาควิชานิเทศศาสตร์ คณะวิทยาการสารสนเทศ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม แสดงความคิดเห็นว่า การผลักดันให้ดิจิทัลเข้ามาอยู่ในหลักสูตรก็ถือเป็นการปรับตัวในด้านของการศึกษา เพื่อผลิตบัณฑิตที่ตอบโจทย์ตลาดแรงงาน โดยเพิ่มทักษะให้นิสิต
ด้านนางสาวสุภิญญา กลางณรงค์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ และอดีต กสทช. เสนอว่า ควรมีกฎคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล มีระบบร้องเรียนการทำงานของสื่อ มีกลไกลรัฐที่เอกชนเกรงใจเพื่องป้องกันการทำผิดซ้ำๆของสื่อ
นายธีระพงษ์ โสดาศรี อดีตอธิการบดีกรมประชาสัมพันธ์ แสดงความคิดเห็นว่า ควรให้มีการจัดตั้งหน่วยงานที่มีคนจากทั้งภาครัฐและเอกชนในหลายฝ่ายมาช่วยกันดูแลแก้ไข ระบุอำนาจให้ชัดเจน
ขณะที่นายปฏิวัติ เฉลิมชาติ ผู้จัดการสมาคมผู้บริโภคจังหวัดขอนแก่น แสดงความเห็นว่า การกำกับดูแลของไทยตอนนี้คือถือกฎหมายกันคนละฉบับ กระทรวงดิจิทัลที่มีสำนักงานพัฒนาธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) จะไปเชื่อมกับหน่วยงานสำนักงานคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ) และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ถ้าทั้งสามหน่วยงานมาคุยกัน ก็จะช่วยแก้ไขได้ในระดับหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม สื่อท้องถิ่นในยุคดิจิทัลก้าวกระโดดจะต้องมีการจัดระเบียบโซเชียลมีเดีย พัฒนาคอนเทนต์ของสื่อ ลดข่าวร้ายเพิ่มข่าวดี เพราะประชาชนยังคงพึ่งความน่าเชื่อถือจากสื่อหลัก ผู้รับสารต้องรู้เท่าทันสื่อ ส่วนสื่อเองก็ต้องรู้เท่าทันข้อมูลที่ได้รับมา แต่จะรู้เท่าทันสื่อได้อย่างไรนั้นสื่อเองก็ต้องเป็นตัวสร้างวัฒนธรรมในการใช้ดิจิทัลว่าควรจะไปในทางไหน เพื่อเตรียมความพร้อมทั้งพลเมืองและสื่อมวลชน
บทสรุปของวงเสวนาครั้งนี้ก็ยังไม่เป็นที่แน่ชัด มีเพียงแนวทางที่จะนำไปพัฒนาต่อยอดในรูปแบบของนโยบายและโครงการต่างๆ หากได้รับการสนับสนุนจากทุกภาคส่วนจะเป็นผลดีต่อสื่อท้องถิ่นและคนในชุมชน